เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๗ ม.ค. ๒๕๖๒

เทศน์เช้า วันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๒

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรมเพื่อให้หัวใจเราแจ่มแจ้ง ให้หัวใจเราสว่างไสว หัวใจเรามีความสุขไง

เวลาเราเกิดมา เกิดมาเราจะหาความสุขให้ร่างกายนี้ จะอยู่คอนโดสูงๆ จะอยู่ในชั้นที่สะดวกสบาย สะดวกสบายขนาดไหน ถ้าพูดภาษาในสายตาเรานะ มันเป็นไก่ไข่ รังนก มันเป็นที่อยู่อย่างนั้นเท่านั้น นี่พูดภาษาถ้าเป็นธรรมๆ นะ เพราะสิ่งมีชีวิตมันมีค่าเท่ากัน มีค่าเท่ากันทั้งนั้นน่ะ

แต่เวลาเราเกิดมานะ ถ้าเรามีสติมีปัญญาของเรา สิ่งที่หน้าที่การงานของเรา เราแสวงหามาเพื่อเรา แต่ชีวิตจิตใจของเรา ถ้าชีวิตของเรา คนที่ดี คนที่ดีมันมีกตัญญูกตเวที มีจิตใจที่ดีงาม จิตใจที่เป็นสาธารณะ สังคมมีความร่มเย็นเป็นสุข

ถ้าสังคมมีความร่มเย็นเป็นสุข เราก็มีความสุขไปด้วย แต่ถ้าสังคมเขามีความขัดแย้ง สังคมมีแต่ความบาดหมาง มันเศร้าหมอง จิตใจเราเศร้าหมองทั้งนั้นน่ะ แต่มันเป็นเรื่องของสังคม เห็นไหม

จริตนิสัย จริตนิสัยของคนมันแตกต่างกัน เวลาแตกต่างกันมันได้ซับได้ซึมมาอย่างนั้น มีความรู้สึกนึกคิดอย่างนั้น จะทำสิ่งใด คนคิดว่ามันดีงามของเขาๆ นี่เวลาจิตใจมันมืดบอด

ถ้าจิตใจที่มันสว่างไสว จิตใจที่มันมีคุณธรรมขึ้นมาในหัวใจนะ สิ่งใดก็ได้ มันเป็นวัตถุ สิ่งที่วัตถุแสวงหามา ถ้าเรามีจิตใจที่เป็นเมตตา เราเสียสละได้

แต่เวลาคนที่เขาทะเลาะกันก็เงินบาทเดียวเท่านั้นน่ะ เงินบาทเดียวถ้ามันโกงกัน ถ้ามันแย่งชิงกัน สิ่งนั้นมันเป็นความอาฆาตมาดร้าย ถ้าเป็นความอาฆาตมาดร้ายนะ เงินบาทเดียว แต่มันเสียศักดิ์ศรี เสียศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ๆ ไง ศักดิ์ศรีมันยิ่งใหญ่นัก ถ้าศักดิ์ศรียิ่งใหญ่นัก

แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร ถ้าแพ้เป็นพระนะ เงินหนึ่งบาท เรามีเป็นล้าน เป็นสิบๆ ล้าน เราจะบริจาคที่ไหนก็ได้ ไอ้เงินบาทนั้นๆ แต่มันด้วยความเสียศักดิ์ศรีของเราไง แต่ถ้าจิตใจมันเป็นธรรมนะ เราจะเสียสละมากน้อยแค่ไหนมันภูมิใจ ภูมิใจเราไง ถ้ามันยื่นออกจากมือเราไปแล้ว สังคมร่มเย็นเป็นสุขเพราะความเผื่อแผ่ของเรา

ใครจะติฉินนินทานั่นมันเรื่องของเขา โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ แต่ถ้ามีจิตใจที่เป็นธรรมๆ มันคิดของมันได้ ถ้ามันคิดของมันได้ สิ่งที่มันคิดได้ต้องมีสติมีปัญญา ถ้ามีสติปัญญา ปัญญาอะไร

ปัญญาทางโลกๆ ปัญญาที่จะเอารัดเอาเปรียบเขา ปัญญาที่มือใครยาว สาวได้สาวเอา ถ้ามือใครยาว สาวได้สาวเอานั่นมันเป็นธุรกิจ แต่เขาทำของเขาแล้ว เขามีจิตใจที่เมตตา มันเป็นธรรมๆ สิ่งนี้สิ่งที่เป็นวัตถุ

เวลาคนเราเกิดมาๆ เหมือนผลไม้ ผลไม้ที่เขาถนอมอาหารๆ เขาดองไว้ เขาดองไว้เขารักษาไว้เพื่อถนอมอาหาร

นี่ก็เหมือนกัน คนเราเกิดมาครึ่งๆ กลางๆ แต่ถ้ามันเป็นอาหาร ถ้าเป็นอาหารดิบๆ นะ เรากินอาหารดิบก็ได้ แต่ถ้ามันเป็นข้าว ข้าวสุกกับข้าวดิบ ข้าวสุกกับข้าวสาร ข้าวสารกินไม่ได้ นี่เวลามันสุก เวลามันดิบ

ถ้ามันสุกขึ้นมาแล้วมันเป็นอาหารนะ เวลาเปิดหม้อข้าวขึ้นมานะ กลิ่นของข้าว ข้าวใหม่มันหอมหวนไปหมดน่ะ มันน่ากิน เห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน หัวใจของเราถ้ามันสุก ถ้ามันสุกขึ้นมาคือว่ามันเป็นคุณงามความดีของเรา ถ้ามันดิบ ถ้ามันดิบมันระรานเขาไปทั่ว แต่ถ้าในปัจจุบันนี้มันดองไว้ครึ่งๆ กลางๆ จะว่าดิบก็มีสติปัญญา จะว่าสุก สุกมันก็ยังเอารัดเอาเปรียบ มันยังมีความเครียดในหัวใจของเรา จะสุกก็ไม่ใช่ จะดิบก็ไม่ได้ไง

นี่ไง มนุษย์เราต่างจากสัตว์เพราะมีศีลมีธรรม มนุษย์ขึ้นมา ถ้าสัตว์ ถ้ามันเป็นสัตว์ที่ดีงามมันก็รักษาฝูงของมัน มันก็รักพวกรักพ้องของมันเหมือนกัน แต่มนุษย์เราต่างจากสัตว์เพราะมีศีลมีธรรม

ถ้ามีศีลมีธรรมขึ้นมา สิ่งที่กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมมันหอมทวนลมๆ หอมทวนลมตรงไหน ถ้าคนมันจริตนิสัยที่ดี คนที่ทำคุณงามความดีเขามีอำนาจวาสนาบารมีของเขา คนนั้นเป็นคนดีๆ มันร่ำลือกันไปไง กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมมันหอมทวนลม นี่มันเป็นเรื่องของวัฒนธรรมนะ

แต่คนถ้ามีสติมีปัญญาขึ้นมา ชีวิตนี้เกิดมาเพื่ออะไร เวลาชีวิตเกิดมาด้วยบุญกุศลของเรานะ เราได้เกิดเป็นมนุษย์ เวลาเกิดเป็นมนุษย์มันมีอาการ ๓๒ สมบูรณ์แบบอยู่แล้ว ถ้ามีสติปัญญาทำสิ่งที่ดีงามขึ้นมา เราทำหน้าที่การงานของเรา ถ้ามันมีสติปัญญามากขึ้น นั่นก็มากขึ้น

ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะได้เป็นกษัตริย์ กษัตริย์ในสมัยพุทธกาลเขาสละราชบัลลังก์ของเขามาบวชเป็นพระ เวลาบวชเป็นพระแล้วเขาแสวงหาคุณงามความจริงในใจของเขา เขาอยู่โคนไม้ “ที่นี่สุขหนอๆ” ความสุขความสงบระงับในใจของตนไง

ถ้าความสุขความสงบระงับในใจของตนมันความเป็นธรรมนะ ถ้าความเป็นธรรมขึ้นมามันปิดทองหลังพระ ปิดทองก้นพระ มันไม่ต้องการให้ใครรับรู้นั้น เพราะอะไร เพราะการรับรู้ รับรู้จากหัวใจของเรา

ความลับไม่มีในโลก หัวใจเรารับรู้ได้ สุขหรือทุกข์เรารู้ได้ ความดีงามเรารู้ได้ การแย่งชิงมาเราก็รู้ได้ ถ้าเป็นการเสียสละเราก็รู้ได้ เรารู้ได้ทั้งนั้น แต่เวลามันมีความเครียดมีความบีบคั้นในใจของเรา ใครมันรู้ได้

ถ้ามันรู้ได้ ถ้ามีสติปัญญา เรามีศรัทธาความเชื่อของเรา เรานั่งลง หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธให้มันสงบระงับเข้ามา ถ้ามันสงบระงับเข้ามา นี่สมบัติของเรา สมบัติจริงๆ แล้วไม่ใช่โลกธรรม ๘ ไม่ต้องให้ใครมาสรรเสริญเยินยอทั้งสิ้น แต่ถ้ามันเป็นความจริงๆ ขึ้นมามันอิ่มเต็มในหัวใจของมัน เห็นไหม

หัวใจของเราที่มันหิวกระหาย คนหิว โรคหิวเป็นโรคประจำตัว เวลามันหิวมันกระหายขึ้นมามันบีบคั้นหัวใจนะ หัวใจที่มันไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์มันเสวยอารมณ์ มันหิวมันกระหาย คนหิวคนกระหายมีอะไรมันเอามาทั้งนั้นน่ะ

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเราลอยคออยู่ในทะเล แล้วเราจะเอาอะไรเป็นที่พึ่ง เราจะเอาอะไรเป็นที่พึ่ง เห็นไหม แม้แต่ซากศพมา เพื่อนไปด้วยกัน เรือล่มคนหนึ่งตาย ก็ต้องเกาะซากศพนั้นไปก่อน รักษาชีวิตนี้ไว้

นี่ก็เหมือนกัน เวลามันหิวมันกระหายขึ้นมา ความคิดนั่นน่ะ ความคิดในใจของตนถ้ามันเป็นคนที่ดีงามนะ จริตนิสัยที่ดี ดูผลไม้สิ เวลามันออกช่อออกดอกมันสวยงามทั้งนั้นน่ะ แล้วมันเป็นผล มันดีงามทั้งนั้นน่ะ

หัวใจของเราก็เหมือนกัน ถ้าหัวใจที่มันคิดที่เรื่องดีๆ คำว่า ดีๆ” คิดถึงเรานะ คนที่ดีเขามีกตัญญูกตเวทีนะ เขาดูแลพ่อแม่ของเขา พระกัสสปะ พระกัสสปะกับภรรยาของเขามีความคิดเหมือนกัน ไม่อยากมีครอบครัว เป็นลูกเศรษฐีทั้งคู่เลย พ่อแม่ก็อยากให้มีชาติมีตระกูล ก็จับแต่งงานกัน เขาสัญญากันไว้ไง เขาถือพรหมจรรย์ ดูแลรักษาจนพ่อแม่ตายทั้งสองฝ่าย แล้วสุดท้ายแล้วออกบวช

พระกัสสปะๆ เวลาพระกัสสปะบวชเมื่อแก่ รอดูแลพ่อแม่จนตลอดรอดฝั่งไปแล้วออกมาบวช พอบวชมาแล้ว บวชเมื่อแก่ บวชเมื่อแก่พยายามขวนขวาย พยายามกระทำของตน ถือธุดงควัตร เป็นเอตทัคคะในทางถือธุดงควัตร ถือธุดงควัตร ถือผ้าบังสุกุล บังสุกุล จีวรแปะถึง ๔ ชั้น

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสรรเสริญพระกัสสปะต่อหน้าสงฆ์ “กัสสปะเอย เธอก็มีชีวิตเท่าเรา ๘๐ ปีเหมือนกัน เกิดพร้อมกัน ทำไมเธอถือธุดงควัตร ทำไมใช้ผ้าต้องใช้ผ้าบังสุกุล คหบดีจีวรก็ได้”

“ข้าพเจ้าทำเพื่ออนุชนรุ่นหลัง”

ทำเพื่ออนุชนรุ่นหลังได้อ้างเป็นแบบอย่าง ไม่ได้ทำเพื่อตน เพราะเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปขอแลกผ้าสังฆาฏิจากพระกัสสปะๆ

แล้วเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว “อานนท์ เธอไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องร้องไห้ไปหรอก เรานิพพานไปแล้ว ๓ เดือนข้างหน้าเขาจะทำสังคายนา เธอจะได้เป็นพระอรหันต์ในวันนั้น” นี่ไง “เธอจะได้เป็นพระอรหันต์ในวันนั้น” พระกัสสปะทำสังคายนา พระกัสสปะเป็นผู้ดูแลคุ้มครองหมู่สงฆ์ให้สงบระงับมาตลอด

พระกัสสปะๆ เวลาเขาเป็นคนดีงาม ดีงามในหัวใจมันดีงามอย่างนั้น เห็นไหม เขามีกตัญญูกตเวทีมาตั้งแต่ต้น ไม่ชิงสุกก่อนห่าม เวลาพ่อแม่ต้องการสิ่งใดก็สนองตอบพ่อแม่ไปด้วยกัน เวลาดูแลพ่อแม่จนสิ้นอายุขัยไป กับภรรยาของตน “เราจะอยู่ทำไม” ต่างคนปรึกษา “เราอยู่กันทำไม”

ไม่ได้เป็นห่วงไง ตกลงกันว่าสมบัติแจกๆๆ แจกทั้งสองตระกูล เศรษฐีสองตระกูล สมบัติแจกหมดเลย แล้วเศรษฐีสองตระกูลนั้นก็ออกบวช พระกัสสปะได้เป็นพระอรหันต์ ภรรยาก็ได้เป็นพระอรหันต์ เป็นพระอรหันต์ทั้งนั้น

นี่สมบัติในชาติในตระกูลก็จบ สมบัติของตนก็ได้ ถ้าคนคิดดี คิดดีมันคิดดีของมันอย่างนั้นน่ะ ไม่ขัดไม่แย้ง แต่พยายามรักษาใจของตนนะ

แต่เราไม่เป็นอย่างนั้น เวลาของเรา เราจะคิดดี ดีได้เดี๋ยวเดียว แล้วยิ่งบอกจะคิดดี แล้วถ้ามีสิ่งใดมาเย้ามายวนนะ ไปหมดล่ะ

ในปัจจุบันนี้ เราแปลกใจนะ สังคมมันหลอกมันลวงกันทำไมเขาไปเชื่อกันได้อย่างนั้นนะ เชื่อกันไป ว่ากันไปนะ เพราะอะไร เพราะขาดสติ ขาดสติยับยั้ง ขาดสติรักษาหัวใจของตน

ถ้าเรามีสติรักษาหัวใจของตนนะ มันจะมีผลประโยชน์อะไรที่ได้มาได้ง่ายๆ ล่ะ พระพุทธศาสนาสอนอย่างนั้นหรือ พระพุทธศาสนาสอนถึงบุญ บุญมันคืออะไร บุญคือความสุขใจของเรา แล้วถ้ามีสติปัญญาขึ้นมาเราก็ขวนขวายกระทำของเรา

เว้นไว้แต่เรามีสมบูรณ์แบบของเราแล้วเราจะช่วยเหลือเจือจานใคร นั่นเป็นเรื่องของเรา เป็นสิทธิของเรา นี่เป็นปัญญาของเรานะ เราไม่ใช่ไปเชื่อกระแสสังคมอย่างนั้นน่ะ

ดูกระแสสังคมสิ หลอกลวงกันทั้งสิ้น ศีล ๕ ศีล ๕ ไง ไม่โกหกมดเท็จไง ไม่พูดปดไง เวลาพูดปดโกหกมดเท็จ แล้วเวลาเราโดนเขาโกหกมดเท็จเราก็เชื่อเขาไป เวลาทำอะไรก็ไม่ได้ จะต้องซื่อสัตย์ๆ

เราก็ซื่อสัตย์ของเรา เราไม่โกหกมดเท็จใครทั้งสิ้น สุจริตธรรมมันคุ้มครองเรานะ คุณงามความดีคุ้มครองเรา เวลา สีเลน สุคตึ ยนฺติ สีเลน โภคสมฺปทา ศีลคุ้มครอง ธรรมะคุ้มครอง

เวลาว่าเราต้องมีเหรียญรุ่นนั้นๆ คุ้มครองเรา

ศีลนี้มันคุ้มครอง เราทำแต่คุณงามความดีของเรามันจะมีสิ่งใดเข้ามาระรานเรา เรามีแต่ความเมตตาของเรา โภคสมบัติก็เกิดขึ้นเพราะความไม่สุรุ่ยสุร่าย ความประหยัดมัธยัสถ์ สิ่งที่มันจะมีเภทภัยสิ่งใดคนก็คุ้มครองดูแล เพราะคนข้างเคียงเขาเห็นคุณงามความดีของเรานะ เขาช่วยเตือนช่วยบอก มาช่วยทั้งนั้นน่ะ ความคุ้มครองไง สีเลน สุคตึ ยนฺติ สีเลน โภคสมฺปทา

เวลาประพฤติปฏิบัติธรรม เกิดสติขึ้น เกิดปัญญาขึ้น สติปัญญาขึ้นมามันสังเวชนะ สังเวช ดูสิ ใบไม้ร่วงไปเรื่อยๆ คนเราเกิดมานะ ก็มีคนแก่คนชราภาพชราคร่ำคร่าไปนะ เราก็ต้องเป็นแบบนั้นเหมือนกัน

ถ้าเราจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน เรามีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันในสมบัติของเรา เราทำอะไรเพื่อประโยชน์กับเราบ้าง ประโยชน์กับชีวิตนี้ สมบัติเป็นทิพย์สมบัติๆ

สมบัติเราเป็นของสมมุติทั้งสิ้น เสียสละไปสิ เป็นทิพย์ เป็นทิพย์เพราะมันฝังไปกับใจ ใจนี้เป็นผู้เจตนาเสียสละ ใจเสียสละเป็นผู้ให้ นี่ผู้ให้ขึ้นมา นี่เป็นทิพย์ๆ มันไปกับหัวใจดวงนี้ไง ไม่ต้องเคาะโลง ไม่ต้องมาถวายอาหาร

หลวงตาเวลาท่านตายไง “ไม่ต้องสวดมาติกาบังสุกุล ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น เราทำพอแล้ว”

ท่านทำเป็นแบบอย่าง แต่ใครจะมีใครจิตใจมั่นคงอย่างนั้น ถ้าถึงเวลาท่านไม่ทำๆ แต่ก็อาศัยสรีระของท่านเพื่อทำบุญกุศล เพื่อให้คนอื่นได้บุญกุศล เป็นเหตุ

พระพุทธศาสนามันมีเหตุมีผลของมัน เรามีสติมีปัญญามากน้อยแค่ไหน ถ้าเรามีสติปัญญามากขึ้น หน้าที่การงานเราก็ทำ หน้าที่ทางโลกนี้ หน้าที่การงานทางโลกเราก็ทำ ทำเพื่ออะไร ทำเพื่อปัจจัยเครื่องอาศัย ทำเพื่อโลก

ถ้ามีสติปัญญาเราก็ทำให้สังคมเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา มันเป็นพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ที่คุ้มครองดูแลเพื่อเป็นบุญกุศลของเรา หน้าที่การงานของเรา เราจะทำความสงบของใจเราเข้ามา

พระโพธิสัตว์จะเข้าสู่มรรคไม่ได้ พระโพธิสัตว์ทำได้ฌานสมาบัติเท่านั้น เพราะว่าถ้ามันเข้าสู่มรรคแล้วภพชาติมันจะตัดเลย ตัดเลยมันก็สิ้นกิเลสไป

แต่พระโพธิสัตว์เขาทำเพื่อบ่มเพาะ เพื่อบ่มเพาะอำนาจวาสนาบารมี ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย เวลาทำ ๑๖ อสงไขยอายุแปดหมื่นปี วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ไหม คนอายุแปดหมื่นปี ทำไมคนโบราณโครงกระดูกมันใหญ่โตนัก ทำไมคนเดี๋ยวนี้มันจะเล็กน้อยไป อายุขัยจะสั้นไปๆ นี่ไง ผลของวัฏฏะ

เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ผลของวัฏฏะ เหมือนกับสายพันธุ์ต่างๆ ที่เขาคุ้มครองดูแลกันนั่นน่ะ นี่ก็เหมือนกัน แต่สายพันธุ์ของเรามันสายพันธุ์ของกิเลส เหยียบย่ำทำลาย อาฆาตมาดร้าย ทำให้มันเหี่ยวเฉา ทำให้มันสั้นลงๆ ไง แต่ถ้ามันเป็นบุญกุศลมันจะเพิ่มขึ้นๆ อายุขัยมันจะมากขึ้นๆ นี่ผลของวัฏฏะๆ เราจะเกิดในสังคมใด เกิดที่ใด เกิดอำนาจวาสนาของเรา

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ สิ่งที่เราเกิดมาเราเห็นหน้ากัน เราไม่เคยเป็นญาติ ไม่เคยเป็นพี่เป็นน้องกัน ไม่ภพชาติใดหนึ่งไม่มี เหมือนกันหมด

เพราะเราเคยเกิดเป็นพี่เป็นน้องเป็นญาติกันมาก่อน เพราะเราเกิดเป็นพี่เป็นน้องเป็นญาติกันมาก่อน เราเคยอยู่ด้วยกัน เคยอยู่ด้วยกัน เราเคยส่งเสริมกัน เราเคยทำคุณงามความดีต่อกัน เราเกิดมาแล้วเรามีปัญหาต่อกัน แล้วก็เกิดมาเป็นอย่างนี้ แล้วทุกคนก็อยากเจอเพื่อนดีๆ เจอพ่อแม่ที่ดีๆ

อยากเจอของดีทั้งนั้น แต่เราดีหรือเปล่า ถ้าเราอยากเจอของดีทั้งนั้น เราก็รักษาของเราไง

เราเกิดมาแล้ว ในชาติปัจจุบันนี้พ่อแม่ก็คือพ่อแม่ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูกเพราะพ่อแม่ให้ชีวิตนี้มา ชีวิตนี้มีคุณค่ามากที่สุดกับทรัพย์สมบัติกับสถานะต่างๆ ทั้งสิ้น เพราะชีวิต เพราะมีชีวิตถึงมีพ่อมีแม่ ถึงมีทรัพย์สมบัติ มีชื่อมีเสียง เพราะมีชีวิต

แล้วชีวิตนี้ ถ้าพ่อแม่ที่ดีงาม สัมมาทิฏฐิ พาให้ลูกดีงามขึ้นไปอีก ถ้าพ่อแม่เป็นมิจฉาทิฏฐิ พ่อแม่มีความเห็นผิด ลูกที่อภิชาตบุตร เราก็มีจุดยืนของเรา พยายามคัดเข้าสู่ทางที่ดี เปิดตา เปิดหัวใจของพ่อของแม่ นี่เพราะอะไร เพราะมันผลของวัฏฏะไง มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันมีผลต่อเนื่องกันไปไม่ใช่เฉพาะภพชาตินี้

ภพชาตินี้เราได้แต่ป้อนอาหาร ได้แต่ดูแลนะ เราดูแลพระอรหันต์ของเรา แต่ถ้าเราเปิดใจพระอรหันต์ของเราด้วย โอ้โฮ! ยิ่งเป็นคุณประโยชน์กับเรามหาศาลเลย แล้วถ้าเราเปิดใจเราเองล่ะ ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก เราเปิดใจของเราเองล่ะ

กว่าจะเปิดใจของตัวเองได้ สอนคนไปทั่ว ไปที่บ้านจ้ำจี้จ้ำไชใครก็ได้ เข้าบ้านไปเถอะ จ้ำจี้จ้ำไชเขาได้หมดเลย แต่กูไม่ทำสักอย่าง จ้ำจี้จ้ำไชคนได้ทุกคนเลย

สอนตัวเองยากที่สุด สอนตัวเอง เพราะอะไร เพราะมันเอาเข้าจริงมันมีแรงขับดันจากหัวใจนี้ กิเลสตัณหาความทะยานอยากนี้

ถ้าเรามีความเชื่อมั่นของเรา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ทำความสงบของใจเข้ามา ยืนยัน กายกับใจๆ ใจเป็นอย่างไร ร่างกายนี้ใครๆ ก็รู้ได้ ใจเป็นอย่างไร ใจที่มันอิสระมันพ้น

อายตนะ ระหว่างกายกับใจที่มันเกี่ยวเนื่องกัน อายตนะ เรารับรู้ได้ด้วยการสัมผัส เรารับรู้ด้วยหู เรารับรู้ด้วยตา รับรู้ด้วยอายตนะทั้งหมดเลย เวลามันเป็นตัวของมันเองอยู่ในร่างกายนี้ เวลาอัปปนาสมาธิ มันทิ้งหมด สักแต่ว่า กายนี้ก็ไม่รับรู้นะ จิตอยู่ท่ามกลางหัวใจนี้มันเป็นอิสระเด่นชัดจนร่างกายนี้มันไม่รับรู้อะไรเลย เด่นของมันอยู่อย่างนั้นน่ะ นั่นน่ะอัปปนาสมาธิ แค่สมาธินะ ยังไม่ได้ใช้ปัญญาเลย พอฝึกหัดใช้ปัญญา ไปอีก

กายกับใจๆ ถ้าเรารักษาของเรา เราดูแลของเรา เราจะมหัศจรรย์ของเรา แล้วพอถ้าทำได้อย่างนี้ปั๊บ ไอ้เรื่องวัตถุนิยมมันจะเบาลงทันทีเลย โฮ้! บ้าหอบฟาง นู่นก็ของกู นี่ก็ของกู ไม่มีอะไรเป็นของกูสักอย่าง นี่ถ้ามันมีสติปัญญารู้เท่านะ

นี่ไง เที่ยวสอนคนนู้นสอนคนนี้ พอมันปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ตัวมันรู้โดยตัวมันเอง สอนตัวเอง รู้ตัวเอง ตัวเองรู้ขึ้นมามันมีคุณค่าจากการศึกษา คุณค่าจากการค้นคว้าทั้งสิ้น รู้จริงขึ้นมาจากท่ามกลางใจของตน แล้วพอมันฝึกหัดใช้ปัญญาไปมันยิ่งมหัศจรรย์มาก

ฉะนั้น เวลาหลวงตาท่านสิ้นกิเลสไป ท่านกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้ได้อย่างไรหนอ รู้ได้อย่างไรหนอ รู้ความจริง

ศึกษามามหัศจรรย์ทั้งนั้น ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามหัศจรรย์ทั้งนั้นน่ะ แต่มันรู้ด้วยตัวเอง รู้จากจิต แล้วมีคุณค่า พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานท่ามกลางหัวใจของทุกๆ คน

เพราะเรามีจิต เพราะเรามีความรู้สึก เรามีธาตุรู้ของเรา แต่เราละทิ้งมันไป เราละทิ้งจิตของเราไปเอง แล้วไปค้นคว้า ไปตะครุบเงา ไปตะครุบของข้างนอก

แต่พอมันหันกลับเข้ามา นี่ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัญญาในพระพุทธศาสนาทวนกระแสกลับเข้าไปสู่ใจของตน ทวนกระแสกลับเข้าไปสู่ใจของตน แล้วพอมันได้ใจของตน

หลวงปู่มั่นบอก ได้ใจของตนคือได้สมบัติสูงสุด

หลวงปู่มั่นสั่งไว้เลย จะได้อะไรก็ไม่เท่ากับได้ใจของตน เราทั้งนั้นค้นคว้าหาใจของตน ได้ใจของตน ได้สมบัติที่เลอค่า เอวัง